วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ซีดาน


ซีเนอดีน ซีดาน ตำนานลูกหนังของฝรั่งเศส

ซีเนอดีน ซีดาน เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปี 1972 ที่เมืองมาร์กเซย ประเทศฝรั่งเศส มีชื่อเล่นว่า “ซิซู”เป็นลูกชายของชาวแอลจีเรียที่อพยพมาอยู่ในฝรั่งเศส เริ่มต้นอาชีพลูกหนังจากการเล่นอยู่ตามท้องถนนในเมืองมาร์กเซย ตามประสาเด็กทั่วไป จนในตอนที่หนูน้อยซีดาน มีอายุได้ 14 ปี พรสวรรค์ของเขาก็ไปเตะตาแมวมองของสโมสรกานส์ ที่มาชักชวนให้เขาไปเข้าโรงเรียนลูกหนังฝึกฝนฝีเท้ากับทางสโมสร

ซีดาน ได้กลายเป็นสมาชิกทีมชุดใหญ่ของกานส์ ตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึง 17 ปี โดยในฤดูกาล 1990/1991 เขาก็เป็นตัวจริงของทีมได้แล้ว แม้ว่า กานส์ จะตกชั้นไปจากลีก เอิง แต่ ซีดาน ก็ยังคงได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ต่อไป เมื่อ บอร์กโดซ์ เข้ามาคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ต่อทันทีที่ กานส์ ตกชั้น

หลังจาก ซีดาน ย้ายมาร่วมทีม บอร์กโดซ์ เขาก็เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนทีม และสามารถพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1995/1996 ซึ่งแม้ว่า บอร์กโดซ์ จะพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ทีมยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน จนพลาดแชมป์ไป แต่ฝีเท้าของ ซีดาน ที่ได้สำแดงออกมาในฤดูกาลนั้น ทำให้เขาแจ้งเกิดในเวทีลูกหนังยุโรป ได้สำเร็จ จนมีคนยกย่องว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของฝรั่งเศส เช่นเดียวกับ มิเชล พลาตินี่ ที่ ซีดาน เคยส่งบอลให้กับมือ ในตอนที่เขาเป็นเด็กเก็บลูกฟุตบอล ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1984

สำหรับเส้นทางในทีมชาติฝรั่งเศส นั้น ซีดาน ติดทีมชาติครั้งแรก ในปี 1994 และสร้างความประทับใจสุดๆ ด้วยการลงมาทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ ฝรั่งเศส ไล่ตามตีเสมอ สาธารณรัฐเช็ก 2-2 หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-2 ในตอนที่ ซีดาน ยังไม่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม

ซีดาน มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในระดับนานาชาติ เมื่อติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 1996 ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเจ้าภาพ และ ซิซู ก็โชว์ลวดลายลีลาออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ฝรั่งเศส จะไม่ถึงดวงดาวในการแข่งขันครั้งนั้น แต่ ซีดาน ก็กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสโมสรชั้นนำในยุโรป และเป็นอนาคตของทีม “เลส์ เบลอส์” อีกด้วย

หลังจากจบ ยูโร 96 ยูเวนตุส ทีมมหาอำนาจของอิตาลี ที่ประทับใจฝีเท้าของ ซีดาน เป็นอย่างยิ่ง ก็คว้าตัว ซิซู ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวเพียงประมาณ 3 ล้านปอนด์ และ ซีดาน ก็พา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ริเวอร์เพลท ของอาร์เจนติน่า ในการชิงแชมป์ฟุตบอลอินเตอร์คอนติเน็นทั่ล คัพ ที่เป็นการเอาแชมป์สโมสรยุโรป มาเจอกับแชมป์สโมสรของอเมริกาใต้ นั่นเอง

ในเวลาต่อมา ซีดาน ก็ขับเคลื่อนพาทีมยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในปี 1997 และ 1998 ก่อนจะไปช่วยทีมชาติฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1998 ที่ตนเองเป็นเจ้าภาพ

ในฟุตบอลโลก 1998 พลพรรคนักเตะฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของ เอ็มเม่ ฌักเก้ต์ และมี ซีดาน เป็นหัวใจของทีม แถมยังมีเสียงเชียร์มหาศาลจากแฟนบอลของตนเอง สามารถทะลุทะลวงเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศกับ บราซิล ที่มี โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรง

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1998 คือหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของฝรั่งเศส เมื่อพวกเขาสามารถเอาชนะ บราซิล ได้แบบขาดลอย 3-0 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยแรก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยที่ 2 ประตูแรกที่นำไปสุ่ชัยชนะของทีม “ตราไก่” มาจากการโหม่งของ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์คนเก่งของทีมนั่นเอง ซึ่งในช่วงปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก และนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป มาครองได้อีกด้วย

หลังจากคว้าแชมป์โลก 1998 มาครองได้แล้ว พลพรรคนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส ยังเดินหน้าทำผลงานยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือจาก ฌักเก้ต์ มาเป็น โรเช่ร์ เลอแมร์ แต่นักเตะกำลังหลักของทีมก็ยังอยู่กันครบ

ภารกิจต่อมาของ ซีดาน และชาวคณะก็คือศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 ซึ่ง ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยที่ ฝรั่งเศส ในฐานะแชมป์โลก ตะลุยผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะมาสร้างผลงานบันลือโลกอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้ ด้วยการเอาชนะ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ จากประตูชัยของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ และในปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยียมของโลก มาครองเป็นสมัยที่ 2 ด้วย

ในปี 2001 รีล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน ทุ่มเงินมหาศาลเป็นสถิติโลก 47 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัว ซีดาน จาก ยูเวนตุส ไปสู่ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว และในฤดูกาลแรกที่ ซีดาน ไปอยู่กับ รีล มาดริด เขาก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ ซีดาน สามารถทำประตูสุดคลาสสิค จากการวอลเลย์บอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ซีดาน และทีมชาติฝรั่งเศส ต้องมาประสบความล้มเหลวอย่างยิ่งในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างน่าอาย โดยสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะ ซีดาน ได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขัน ทำให้ไม่ฟิตสมบูรณ์เต็มที่ในการลงเตะฟุตบอลโลก 2002

อย่างไรก็ตาม ซีดาน ก็ยังกลับมาพาทีมรีล มาดริด คว้าแชมป์อินเตอร์ คอนติเน็นทั่ล, ยูโรเปี้ยนส์ ซูเปอร์ คัพ และ แชมป์ลา ลีกา สเปน มาครองได้ ในฤดูกาล 2002/2003

ต่อมาในปี 2004 ซีดาน พาทีมชาติฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004 ที่ โปรตุเกส ก่อนจะประสบความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพ่ายทีมรองบ่อนอย่าง กรีซ ตกรอบไปแบบพลิกความคาดหมย จนทำให้ ซีดาน ท้อแท้ใจจนประกาศอำลาทีมชาติ หลังจากจบการแข่งขันรายการนั้น

แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของแฟนบอลฝรั่งเศส อีกทั้งกุนซือทีมชาติคนปัจจุบันอย่าง โดเมอเน็ค ก็ลงทุนอ้อนวอนเกลี้ยกล่อมด้วยตนเองมาตลอด ทำให้ ซีดาน ยอมหวนกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2005 ซึ่งในตอนนั้นสถานการณ์ของทีม “ตราไก่” ในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอ ซีดาน กลับมาสู่ทีมเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับมาลงตัว และ ฝรั่งเศส ก็ผ่านเข้ารอบสุดท้าย มาโชว์ฝีเท้าในเยอรมัน 2006 ได้ในที่สุด และนี่ก็คือการโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้เห็นฝีเท้าของเขา เพราะหลังจากจบฟุตบอลโลกครั้งนี้ ซีดาน ก็จะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพแล้ว

โทนคุง จัดให้.... รักคนมอง จองคนอ่าน สบายๆได้ฟีล.... ชิล ชิล อย่าคิด

ฉลาม



ลักษณะของฉลามวาฬที่แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันคือ หัวที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว และปากที่อยู่ด้านหน้าแทนที่จะอยู่ด้านล่าง ฉลามวาฬ เกือบทั้งหมดที่พบมีขนาดใหญ่กว่า 3.5 เมตร ใช้เหงือกในการหายใจ มีช่องเหงือก 5 ช่อง มีครีบอก 2 อัน ครีบหาง 2 อัน และ ครีบก้น(หาง) 1 อัน หางของฉลามวาฬ อยู่ในแนวตั้งฉาก และโบกไปมาในแนวซ้าย-ขวา แตกต่างจากสัตว์เลือดอุ่นในทะเลที่หางอยู่ในแนวขนานและหายใจด้วยปอด อาทิ วาฬ โลมา พะยูน เป็นต้น

เปเล่



เปเล่เกิดที่เมือง Tres Coracoes ชื่อของเขาถูกตั้งตามนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน โธมัส อัลวา เอดิสัน โดยพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็นนักฟุตบอลอาชีพทีมฟลูมิเนนเซ (Fluminense Football Club) เป็นคนตั้งให้ และชื่อเล่นว่า “ดิโก” (Dico) พอเข้าชั้นประถมเพื่อน ๆ ก็เรียก “เปเล่” และใช้ชื่อนี้มาตลอด เขาเติบโตในย่านยากจนในเมืองเซาท์เปาโล เขาต้องหาเงินด้วยการรับขัดรองเท้า เมื่อวิ่งได้ก็เริ่มหัดเล่นฟุตบอลตามท้องถนน และสนามดินลูกรัง ใช้กระดาษม้วนเป็นก้อนกลมเป็นลูกบอล บางทีก็ใช้ผลเกรพฟุต จนอายุได้ 6 ขวบ พ่อเขาซื้อลูกบอลให้ลูกแรก จนเมื่ออายุได้ 11 ปี วัลเดมาร์ เดอ บริโต (Waldemar de Brito) นักเตะชื่อดังของบราซิลเห็นแววจึงชวนไปอยู่ทีมฟุตบอลสมัครเล่น พออายุได้ 15 ปีจึงได้เข้าทีมเยาวชน Santos FC junior team ปีต่อมาก็ได้เป็นนักบอลอาชีพในทีม Santos Futebol Clube ซึ่งเกมแรกก็ทำประตูชัยได้ 4 ประตู และได้เป็นดาวยิงสูงสุดของลีก พออายุได้ 17 ปี ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ลงแข่งฟุตบอลโลกในปี 2501 ซึ่งถือเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุด ทำฟอร์มได้น่าประทับใจ

เปเล่สามารถยิงประตูที่ 1,000 ในฟุตบอลอาชีพ โดยยิงได้ในเกมที่แข่งกับ ทีม วาสโก ดา กามา (Club de Regatas Vasco da Gama) ในสนามมาราคานา (Marakana) ต่อมาเขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปอเมริกาใต้ในปี 2516 และในการแข่งขันระดับชาติ เขาพาทีมชาติบราซิลเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย คือปี 2501, 2505 และ 2513 ทำได้ 77 ประตูจากการแข่งขัน 92 ครั้ง สามารถทำสถิติแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก คือ 92 ครั้ง โดยเขาสามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 12 ประตู จนได้รับการยกย่องให้เป็น "ราชาฟุตบอล” ("The King of Football") ตลอดอาชีพนักเตะเขาทำประตูได้ 1,282 ประตู จากการเล่น 1,363 นัด

1 ตุลาคม 2520 เขาตัดสินใจลาวงการลูกหนังอย่างเป็นทางการในนัดสุดท้ายที่ ไจแอนต์ สเตเดียม ซึ่งทีม คอสมอส (Cosmos) พบกับ ซานโตส (Santos) มีแฟนบอลหลายหมื่นคนเข้าร่วมการอำลาของเขา หลังจากอำลาวงการ เขาก็ยังทำงานด้านฟุตบอล และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ องค์กรระดับโลกให้เข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเหลือสังคมเสมอมา

[แก้] อ้างอิง

สิงโตทะเล


สิงโตทะเล สิงโตทะเลเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับแมวน้ำ อาศัยอยู่ในแถบอาร์กติกใกล้ขั้วโลกเหนือ
สิงโตทะเลจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูง เรียกว่า โคโลนี และมักจะลอยไปนอนอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง
สิงโตทะเลตัวผู้ที่โตแล้วจะมีขนาดยาว 3-7 เมตร และมีน้ำหนักถึง 1,400 กิโลกรัม สิงโตทะเล
จะอยู่ในน้ำเป็นส่วนใหญ่ และขุดหาอาหารตามพื้นทะเลด้วยเขี้ยวที่ยาวเหมือนงาช้าง หอยกาบ หอยกะพง
และกุ้งฝอยเป็นอาหารโปรดของสิงโตทะเล มับจะขบเปลือกหอยในปากและพ่นทิ้ง แล้วกลืนแต่ส่วน
ที่เป็นเนื้อนิ่มๆ หนวดที่ยาวและกระด้างบนใบหน้าจะช่วยนำอาหารเข้าสู้ปาก

รองเท้าฟุตซอล

ถึงแม้ว่าช้างจะเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม แต่ช้างก็ยังมีขนาดตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับปลาวาฬ เพราะสถิติปลาวาฬพันธุ์ Balaenoptera ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลกนั้น ยาวถึง 34 เมตร และหนัก 190 ตัน ซึ่งคิดเทียบได้กับช้าง 10 ตัว แม้แต่ไดโนเสาร์เองซึ่งคนบางคนคิดว่าใหญ่กว่าปลาวาฬก็ยังหาได้ใหญ่เท่าไม่ ทั้งนี้เพราะความยาวของไดโนเสาร์ส่วนใหญ่อยู่ที่คอและหาง ส่วนที่เป็นลำตัวจริงๆ จึงยาวน้อยกว่าปลาวาฬ

มนุษย์รู้จักปลาวาฬมานานแสนนานแล้ว Aristotle นักปราชญ์ชาติกรีกในสมัยพุทธกาลได้เคยหลงผิดคิดว่าปลาวาฬเป็นปลา และความหลงผิดนี้ได้ติดตามมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2236 John Ray นักชีววิทยาชาวอังกฤษก็ได้เป็นบุคคลแรกที่ตระหนักความจริงว่าปลาวาฬมิใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันออกลูกเป็นตัวและเลี้ยงลูกอ่อนของมันด้วยนมตามปกติปลาวาฬจะตั้งครรภ์นาน 1 ปี และเวลาคลอดลูกส่วนหางของลูกจะโผล่ออกมาก่อนลูกปลาวาฬสีน้ำเงิน (blue whale) ที่คลอดใหม่ๆ มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร และหนักประมาณ 2 ตัน และเนื่องจากนมปลาวาฬมีโปรตีนและไขมันสูง ลูกปลาวาฬจึงเจริญเติบโตเร็ว นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า หากเราเจาะครรภ์ปลาวาฬก่อนคลอดลูก เราจะพบว่าลูกปลาวาฬในท้องมีขนตามตัว แต่ขนเหล่านี้ได้หลุดจากร่างของตัวอ่อนไปก่อนที่มันจะถูกคลอดออกมา

เมื่อดูเผินๆ ปลาวาฬมีลำตัวที่ดูคล้ายตอร์ปิโดหรือในทางตรงกันข้าม ตอร์ปิโดก็ดูคล้ายปลาวาฬ มันมีศรีษะใหญ่ ไม่มีคอ ตาของมันมีขนาดเล็ก รูจมูกของมันอยู่บนหลัง มันหายใจได้เช่นคนโดยผ่านรูจมูก 2 รู ตามธรรมดาปลาวาฬชอบกินสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปลาหมึก แมวน้ำ และปลาต่างๆ เป็นอาหาร เวลาว่ายน้ำมันใช้หางโบกขึ้นลงๆ ทำให้ว่ายน้ำได้เร็ว โดยเฉาะปลาวาฬพิฆาต (Orcunus orca) นั้นสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 56 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสามารถด้านการดำน้ำลึกนั้น นักชีววิทยาได้สังเกตเห็นว่า ปลาวาฬสีน้ำเงิน (Physeter catadon) ดำน้ำได้ลึกถึง 3 กิโลเมตร การดำน้ำได้ลึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬสามารถกลั้นลมปราณได้นานเป็นชั่วโมงและออกซิเจนมิได้อยู่ที่ปอดของมันเพียงแห่งเดียวแต่อยู่ในส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อด้วย การมีออกซิเจนในตัวมากเช่นนี้ ทำให้เนื้อปลาวาฬมีสีแดงเข้มจัดกว่าเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ

การสังเกตของ A.R. Martin แห่ง Sea Mammal Research Unit ของ Natural Environment Research Council ในประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รายงานว่าหลังจากได้ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับส่งสัญญาณบนหลังปลาวาฬแล้วเขาใช้ดาวเทียมรับและวิเคราะห์สัญญาณจากปลาวาฬ ผลการศึกษาข้อมูลทำให้เขารู้ว่า ปลาวาฬตัวผู้เวลาอพยพจากทะเล Beaufort ไปยังเกาะ Melville มันต้องว่ายน้ำผ่านทวีปที่มีน้ำแข็งปกคลุม เมื่อมันว่ายเหนือน้ำไม่ได้ มันก็ต้องดำน้ำไป โดยการลอดใต้ก้อนน้ำแข็งมากมาย และในการดำน้ำ มันจะดำในแนวเฉียงลึกลงไปเป็นกิโลเมตรแล้วจึงหวนกลับ ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจอีก มันจะดำน้ำลักษณะตัว V เช่นนี้เพราะที่ระดับลึกมากๆ ปลาวาฬมีโอกาสเห็นช่องว่างระหว่างภูเขาน้ำแข็งในทะเลได้ง่าย ซึ่งบริเวณช่องว่างนี้จะเป็นบริเวณที่มันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ หากมันต้องการ

นอกจากความสามารถในการดำน้ำแล้ว ปลาวาฬยังสามารถส่งเสียง และทำเสียงสัญญาณต่างๆ ได้อีกมากด้วยและนับตั้งแต่วินาทีที่มันถูกคลอดออกจากท้องของแม่มัน จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะตายมันจะส่งเสียงและรับเสียงต่างๆ ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หรือในยามมันออกหาล่ามันก็จะส่งคลื่นเสียงออกไปกระทบตัวเหยื่อก่อน จากนั้นมันจะคอยฟังคลื่นที่สะท้อนจากเหยื่อ ข้อมูลที่ได้จะบอกมันให้รู้ชนิดและตำแหน่งของเหยื่อ และถึงแม้ปลาวาฬจะไม่มีคอและไม่มีสายเสียงก็ตาม แต่มันก็สามารถส่งเสียงร้องออกไปได้ไกลๆ เสียงของปลาวาฬบางพันธุ์ ดังพอๆ กับเครื่องบินเจ็ต นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่าเวลาปลาวาฬสนทนากัน มันจะส่งเสียงร้องลักษณะหนึ่งแต่เวลามันจะฆ่าเหยื่อมันจะร้องอื้ออึงอีกแบบหนึ่งหรือเวลาที่มันว่ายน้ำเป็นกลุ่ม มันจะส่งเสียงร้องที่มีทำนองต่างออกไป เพื่อบอกเพื่อนปลาร่วมทะเลให้รู้ทิศและตำแหน่งที่มันกำลังว่ายน้ำอยู่ปลาวาฬจะส่งเสียงร้องเป็นจังหวะ เช่น ปลาวาฬสีน้ำเงินเวลาอพยพย้ายถิ่น จะส่งเสียงร้องนาน 20 วินาที สลับกับการว่ายน้ำเงียบ 20 วินาที

ปัจจุบันนักอนุรักษ์ปลาวาฬใช้ข้อมูลเสียงของปลาวาฬในการบอกจำนวน ชนิดและกิจกรรมต่างๆ ที่ปลาวาฬกระทำ เพราะข้อมูลเสียงนี้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องยิ่งกว่าการสังเกตดูปลาวาฬด้วยตาจากระยะไกลๆ

ปัญหาหนึ่ง ที่นักชีววิทยาสนใจมาก คือบรรพบุรุษของปลาวาฬคือสัตว์อะไร ในช่วงระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานี้ นักชีววิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ขุดพบหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าในอดีตเมื่อ 65 - 75 ล้านปีมาแล้วบรรพสัตว์ของปลาวาฬได้เคยอาศัยอยู่บนบกและเคยเดินได้ หลักฐานหนึ่งที่พบในหุบเขา Zeuglodon ในประเทศ อียิปต์ แสดงให้เห็นซากกะโหลกปลาวาฬที่มีฟันเป็นซี่ๆ มีลำตัวยาว 12 เมตรและมีกระดูกขาหลังที่เล็กมากซึ่งอยู่ค่อนไปทางหางกระดูกขาที่เล็กมาของปลาวาฬพันธุ์ Basilosaususisis ที่มีอายุประมาณ 40 ล้านปีนี้ แสดงให้เห็นว่าปลาวาฬยุคนั้นยังเดินไม่ได้

แต่ในปี พ.ศ. 2535 นั่นเอง H.Thewissen แห่งมหาวิทยาลัย Ohio ได้รายงานในวารสาร Science ว่าเขาได้ขุดพบกระดูกของปลาวาฬ Ambulocetusnatans อายุ 52 ล้านปี ในบริเวณภูเขา Kala Chitta ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถานโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์นี้ประกอบด้วยกะโหลกที่มีฟัน ซี่โครงกระดูกขา 4 ขา หน้า หลัง และหาง Thewissen คาดคะเนว่าปลาวาฬเจ้าของซากกระดูกนี้มีลำตัวยาว 3 เมตร และหนักประมาณ 300 กิโลกรัม กระดูกขาหน้าที่สั้นและอยู่ติดกับลำตัวนั้น แสดงให้เห็นว่ามันใช้ขาหน้าในการเคลื่อนที่บนบก โดยการขยับตัวยกอกแล้วลากท้องไปตามพื้นดินเหมือนสิงโตทะเลส่วนขาหลังนั้นหดเล็ก และยาวเพียง 4 นิ้วเท่านั้นเอง การมีโครงสร้างร่างกายเช่นนี้ ทำให้มันเป็นสัตว์บกที่งุ่มง่ามมาก การหาอาหารเลี้ยงปากท้องจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่เมื่อมันอยู่ในน้ำ มันได้พบว่ามันสามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว อาหารที่มันบริโภคจึงมักเป็นอาหารที่มันหาได้ในทะเล ดังนั้น ต้นตระกูลของปลาวาฬจึงได้ตัดสินใจอพยพจากบกลงทะเลอย่างถาวร เมื่อ 50 ล้านปีมานี้เอง และดำรงชีวิตเป็นสัตว์น้ำอย่างไม่หวนกลับขึ้นบกอีกเลย ซึ่งพฤติกรรมนี้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น แมวน้ำ และตัว walrus ที่เวลาจะคลอดลูก มันจะขึ้นจากทะเล

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในอดีตเมื่อ 1,000 ปีก่อนนี้ ชนเผ่า Basque ในยุโรปเป็นชนเผ่าแรกที่ดำรงชีวิตโดยการจับปลาวาฬมาเป็นอาหาร ต่อมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวแคนาดา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มเข้ามาประกอบอาชีพเป็นนักล่าปลาวาฬด้วย เรือ Mayflower ที่เคยใช้บรรทุกผู้โดยสารจากยุโรป สู่อเมริกาก็เคยเป็นเรือล่าปลาวาฬ และกิจกรรมล่าปลาวาฬได้มีการดำเนินการกันอย่างกว้างขวางและจริงจัง เพราะมนุษย์พบว่าแทบทุกส่วนของปลาวาฬมีประโยชน์ เช่น ไขใช้ทำสบู่ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงจุดตะเกียง เนื้อใช้บริโภคและกระดูกปลาวาฬใช้ทำเป็นปุ๋ย

ทุกวันนี้ปลาวาฬกำลังถูกไล่ล่าฆ่ามากมายปลาวาฬบางตัวได้รับเสียงรบกวนจากเรือ จากเครื่องยนต์ในทะเลหรือจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการสำรวจพบในปี พ.ศ.2509 ว่า จำนวนประชากรปลาวาฬกำลังร่อยหรอคือเหลือเพียง 12,000 ตัว เท่านั้นเองปลาวาฬ ก็ได้รับการประกาศว่าเป็นสัตว์ที่โลกควรอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นมา

ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2541 H. Caswell แห่ง Woods Hole Oceanographic Institution ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานการสำรวจปลาวาฬ right whale ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือว่า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงปลาวาฬนี้จะสูญพันธุ์ ในอีก 200 ปีข้างหน้า เขาได้ข้อมูลนี้จากการเริ่มถ่ายภาพปลาวาฬพันธุ์ right whale ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 และได้คำนวณพบว่าอัตราการอยู่รอดของปลาวาฬพันธุ์นี้ได้ลดน้อยลงในทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2523 นั้น เขาได้พบว่า จำนวนประชากรของปลาวาฬได้เพิ่มขึ้น 5.3% แต่หลังจากนั้น จำนวนก็ได้ลดลง 2.4% ทุกปี และเขาได้พบสาเหตุสำคัญทำให้โลกต้องสูญเสียปลาวาฬมากที่สุดว่า เกิดจากการที่ปลาวาฬถูกเรือชน และเมื่ออัตราการเกิดลด เพราะปลาวาฬผสมพันธุ์กันในตระกูลเดียวกัน และมลภาวะของทะเลมีมากขึ้นทุกวัน จำนวนปลาวาฬจึงได้ลดลงทุกปี

Caswell ได้เสนอแนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายแก้ไขสาเหตุเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เห็นด้วย โดยได้ออกกฎหมายบังคับให้เรือทุกลำที่จะแล่นเข้าน่านน้ำ New England และ Florida ติดต่อยามฝั่งขอข้อมูลตำแหน่งปลาวาฬครั้งล่าสุดแล้วครับ


.

หมาไทยหลังอาน


ลิ้นด่าง ปากทู่ หูตั้ง หลังอาน หางดาบ


เสน่ห์ของสุนัขไทยหลังอานคือความโดดเด่นของขนที่ขึ้นย้อนแนวทอดจากท้ายขึ้นไปตามแนวเส้นหลัง มีรูปทรงต่างๆ

มีสุนัขเพียง 2 สายพันธุ์ในโลกนี้เท่านั้นที่มีลักษณะขนย้อน (Ridge) กล่าวคือ Thai Ridgeback Dog และ Rhodisian Ridgeback

ไทยหลังอาน ยอดพรานสี่ขา
ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน สมัยนั้นชาวบ้านนิยมออกหาอาหารโดยการเข้าป่าล่าสัตว์ และมักนำสุนัขติดตามไปช่วยไล่ล่าสัตว์ป่าด้วย สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขที่ชาวบ้านนิยมเลี้ยงไว้ช่วยล่าสัตว์เพราะมัสามารถวิ่งได้รวดเร็ว เนื่องจากมีช่วงลำตัวยาว อกลึกเป็นพิเศษ เอวคอด จึงถูกจัดเป็นสุนัขล่าเนื้อพันธุ์หนึ่ง แต่บางครั้งก็อาจได้ยินคนเรียกสุนัขพันธุ์นี้ว่า “หมาตามเกวียน” ตามลักษณะที่วิ่งตามเกวียนนายขณะที่นายเดินทางเข้าป่า

อานนี้ท่านได้แต่ใดมา ?
หลังอานนี้เกิดจากขวัญที่สันหลัง โดยมากเริ่มต้นที่ริมกระดูดสันหลังใต้ไหล่ทั้งสองลงไปเล็กน้อย ขนชี้กลับไปทางหัว รวมกันเป็นวงกลมใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางราว 3 ซม. ถึง 5 ซม หรือใหญ่กว่านั้น แล้วเรียวเล็กลงเรื่อย ๆ เหมือนปลายแส้จนเกือบจรดโหนกกระดูดขาหลัง ขนที่เป็นขวัญและที่เรียวลงนี้เป็นขนกลับ ย้อนจากขนธรรมดาของสุนัขรวมกันยกขึ้นเป็นสันสูง เห็นได้ว่าผิดปกติกับสุนัขธรรมดา ปลายขนชี้ไปทางหางทางเดียว ขนขวัญเป็นสีเดียวกับขนของสุนัข บางตัวบนหลังมีขวัญมากกว่าสองหรือ 4 – 5 ตำแหน่งก็มี ขวัญยิ่งมากยิ่งทำให้เส้นขนกลับบนหลังใหญ่ขึ้น แต่คงเรียวเล็กลงเป็นปลายแส้ตามหลังไปทางหาง นอกจากหลังอานแล้วส่วนอื่น ๆ เช่น รูปร่างและสีจะเหมือนกับสุนัขไทยทั่ว ๆ ไป แต่อานที่ดีควรเห็นได้ชัดเจน เรียวและสมดุลกันทั้ง 2 ข้างของลำตัว นิยมชนิดที่มีอานแคบ ๆ แต่อานจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับชนิดของอาน
ชื่อที่ใช้เรียกอานมี 9 ชื่อ ดังต่อไปนี้


1.อานเข็ม คืออานที่ไม่มีขวัญ เป็นอานธรรมดาทั่วไป เกิดจากขนที่ย้อนกลับไปทางหัวเท่านั้น โดยจะยกตัวเป็นแผ่นเล็กมีขนาด 2 – 3 ซม. ที่สันหลัง แผ่นอานนี้จะเริ่มที่หัวไหล่ ขาหน้า เรียวเล็กไปจรดโคนหาง

2.อานแผ่นหรืออานม้า เป็นอานธรรมดาทั่วไปและไม่มีขวัญเช่นกัน ลักษณะเช่นเดียวกับอานเข็ม คือขนที่หลังจะยกตัวขึ้นเป็นแผ่นขนาด 4 – 5 ซม. เต็มแผ่นหลังเหมือนอานม้า สุนัขที่มีอานเต็มแผ่นหลังนี้โดยมากจะมีขนาดใหญ่หาได้ยากและเป็นที่นิยมเลี้ยง

3.อานเทพนมหรืออานพรม อานชนิดนี้ไม่มีขวัญหรือไม่ได้เกิดจากขวัญ และขนบนหลังจะไม่ชี้ย้อนหลังไปทางหัว เพียงแต่จะยกตัวขึ้นมาประสานกันเป็นแนวบนสันหลัง เหมือนกับการพนมมือไหว้พระ มักพบในสุนัขหลังอานที่มีขนยาว เป็นละกษณะที่นิยมเช่นกัน

4.อานธนูหรืออานลูกศร เกิดจากขวัญบริเวณหัวไหล่ของขาคู่หน้า ขนเป็นวงก้นหอย 2 ขวัญวนมาบรรจบกันที่สันหลังเรียวเล็กไปจรดโคนหางหรือบั้นท้าย และยกเป็นแนวสันหลังสูงเห็นชัดเจน อานนี้จะพบได้ในสุนัขหลังอานทั่วไป บางตำราถือว่าเป็นลักษณะแท้จริงของสุนัขไทยหลังอานจึงมักนิยมเลี้ยงไว้ขยายพันธุ์ เพราะถึงแม้จะมีอานเล็กแต่เวลาให้ลูกมักจะได้ลูกอานใหญ่หรืออาน 4 ขวัญ ซึ่งเรียกว่าอานพิณหรืออานใบโพธิ์

5.อานพิณ เกิดจากขวัญตั้งแต่ 3 – 4 ขวัญ โดยที่ตำแหน่งของขวัญจะอยู่ที่ตรงหัวไหล่ของขาคู่หน้า 1 – 2 ขวัญมาบรรจบกันแล้วเรียวไปถึงบริเวณหลัง ซึ่งบริเวณกลางหลังนี้ก็มักจะมีขวัญอีก 2 ขวัญ แต่อยู่คนละฝั่งของสันหลังมาบรรจบกันเป็นแผ่นกว้างที่กึ่งกลางหลัง ทำให้กลางสันหลังเป็นขนที่ชี้ย้อนหลังเป็นแผ่นใหญ่แต็มแผ่นหลังจากนั้นก็จะเรียวเล็ก ปลายแหลมไปจรดโคนหาง มองแล้วดูเหมือนรูปพิณ

6.อานใบโพธิ์ เกิดจากขวัญอย่างน้อย 4 – 6 ขวัญเรียงเป็นระเบียบเหมือนกับอานพิณจะต่างกันที่ตำแหน่งของขวัญบริเวณกึ่งกลางหลัง ขวัญเป็นแผ่นกว้างเต็มหลังเหมือนกัน แต่ที่เรียวเล็กปลายแหลมนั้นถ้าเป็นอานพิณส่วนนี้จะเรียวยาวไปจรดหาง แต่อานใบโพธิ์ส่วนนี้จะสั้นและยาวไม่ถึงโคนหาง มองดูแล้วมีลักษณะคล้ายใบโพธิ์ อานแบบนี้หาได้ยากและไม่ค่อยพบบ่อยนัก

7.อานไวโอลิน อานชนิดนี้เกิดจากขวัญจำนวนมากที่อยู่ห่างกันเป็นคู่ ๆ โดยคู่แรกจะอยู่ที่หัวไหล่ของขาคู่หน้า คู่ที่สองอาจเป็นขวัญคู่หรือขวัญเดี่ยวจะอยู่ห่างจากขวัญแรกค่อนไปทางหางมากบ้างน้อยบ้างไม่แน่นนอนตายตัว โดยจะอยู่คนละข้างของแนวสันหลัง ตำแหน่งจะตรงกันหรือเกือบตรงกัน จากนั้นจะเล็กเรียวไปจรดโคนหางมีรูปคล้ายไวโอลิน ที่นิยมมากคือชนิด 4 ขวัญและขวัญอยู่ไรตำแหน่งที่สมดุลเหมาะสมดูแล้วสวยงาม อานชนิดนี้หาดูได้ยาก ยิ่งถ้ามี 5 – 6 ขวัญ จะไม่ค่อยพบเห็นเท่าไรนัก

8.อานโบว์ลิ่ง อานชนิดนี้เกิดจากขวัญ 4 – 5 ขวัญที่บริเวณหัวไหล่หน้า อาจมีเพียง 1 ขวัญหรือไม่มีก็ได้ บริเวณสันหลังอาจมี 2 ขวัญ อยู่ตรงข้ามกันไม่ห่างมากนัก ส่วนที่หัวไหล่โคนขาจะมีอีกหนึ่งคู่ อยู่ตรงข้ามเช่นกัน แต่กว้างกว่าขวัญคู่แรกหรือขวัญบริเวณตอนกลางหลัง ลักษณะขวัญเช่นนี้ เมื่อดูแล้วจะมีลักษณะคล้ายรูปโบว์ลิ่ง

9.อานหูกระต่าย อานชนิดนี้มีลักษณะเป็นรูปวงรีอยู่บริเวณกลางหลัง ทางส่วนด้านบนตรงหัวไหล่ของขาคู่หน้าจะเป็นอานรูปหูกระต่าย 2 หูแยกออกจากกันดูคล้ายกับตัวกระต่ายนั่งหันหลัง เป็นอานที่หาดูได้ยากอีกแบบหนึ่ง

หลวงปู่ขุ้ย

วัตถุมงคลหลวงปู่ขุ้ย
หลวงปู่ขุ้ย


ชื่อ เสียงของ "หลวงปู่ขุ้ย" แห่งเทือกเขาบรรทัด จ.เพชรบูรณ์ ได้แผ่พลานุภาพกว้างไกลไปทั่วประเทศด้วย สิ่งหนึ่งเกิดจากการใช้วัตถุมงคลของท่าน ด้วยเหตุที่หลวงปู่ขุ้ยเป็นผู้สืบทอดพระเวทวิทยาคม ยอดครูบาอาจารย์เฒ่าองค์เก่าแก่ กล่าวคือสืบสายวิชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน แห่งพิจิตร เจ้าตำรับรูปหล่อมีค่าเหนือทองคำ ผ่านทางหลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง สุดยอดตะกรุดคู่ชีวิตพิชิตภัย ส่งต่อมาถึงหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ยอดเกจิแห่งเพชรบูรณ์ จนมาถึงหลวงปู่ขุ้ย แห่งวัดซับตะเคียนแห่งนี้ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อทบ

อีกสายวิชาหนึ่งที่น่าสนใจ คือสายวิชาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ส่งผ่านมายังพระใบฎีกาบุญยัง พระลูกศิษย์ฐานานุกรมหลวงปู่ศุข และมาถึงหลวงปู่ขุ้ยอีกเช่นกัน

หลวงปู่ขุ้ยมีรุ่นพี่ที่เคารพนับถือกันมาก "หลวงพี่มุ่ย วัดดอนไร่" ยอดเกจิอาจารย์แห่งสุพรรณบุรี นอกจากนี้ท่านยังดั้นด้นเดินธุดงค์ไปเรียนวิชาขอมลาง จากหลวงปู่พรหมสร (รอด) และครูบาแดง แห่งประเทศลาว สั่งสมอบรมพระเวทวิทยาวิชาญาณ ก่อนจะเป็นยอดเกจิดังชื่อก้องในเมืองไทยขณะนี้ ด้วยปาฏิหาริย์และจิตอันเป็นเมตตาไม่มีประมาณ จนถูกขนานนามว่า "เมตตาดุจพระเตมีย์ เจ้าแห่งมนต์เศรษฐีมีชัย เสกเป่าอะไรเป็นร่ำรวย"
ตะกรุดพิสมร




เรื่องแปลกของหลวงปู่ขุ้ยที่ใครได้ไปกราบท่านแล้วมักจะฝันถึงท่านอยู่บ่อยๆ หลวงปู่จะมาโปรดในกิริยาต่างๆ ทั้งมาบิณฑบาตโปรดศิษย์บ้าง มาที่บ้านนั่งกวักให้บ้าง บางทีหลวงปู่จะมาบอกคาถาให้บ้าง จนเป็นเรื่องปกติในหมู่ศิษย์ของหลวงปู่

เมื่อกลางปีนี้ศิษย์ของหลวงปู่ขุ้ยที่อุบลราชธานีมากราบหลวงปู่ที่วัดพร้อม เล่าประสบการณ์ว่า หลวงปู่ไปบิณฑบาตถึงหน้าบ้านเขา ทั้งๆ ที่ความจริงหลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ที่กุฎิ กับเรื่องกายทิพย์ของหลวงปู่ลูกศิษย์ยังพบเจออีกมาก จนเป็นที่มาของการจัดสร้างล็อกเกตกายทิพย์ของหลวงปู่ขุ้ย ที่นำอิริยาบถที่ท่านโปรดศิษย์มารวมไว้ในล็อกเกตนี้ทั้ง 3 องค์คือ หลวงปู่ขุ้ย ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์แพร่บารมีถึงบ้าน รูปหลวงปู่นั่งกวัก เรียกว่า รูปกวักลาภ ที่ช่วยคนทำมาหากินค้าขายดีมานักต่อนักแล้ว รูปหลวงปู่อุ้มบาตร ที่บาตรหลวงปู่เปิดฝาบาตรไว้ เป็นมหาทานโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา เข้าบาตรหลวงปู่
ล็อกเกตหลวงปู่ขุ้ย




การจัดสร้างวัตถุมงคลมีการออกแบบล็อกเกตรูปทั้ง 3 ของหลวงปู่ขุ้ยได้อย่างลงตัว มีคำอวยพรของหลวงปู่ที่ว่า "มั่ง มี ศรี สุข" ด้านหลังได้นำผงวิเศษ 4 ชนิด อุดไว้ คือ ผงข้าวก้นบาตรของหลวงปู่, ผงไม้ตะเคียนที่มีมาอย่างประหลาด, ผงชานหมากยอดของขลังที่สร้างชื่อให้หลวงปู่จนได้ฉายาว่า ชานหมากอุดลูกปืน, ผงวิเศษที่หลวงปู่ลบเอง พระใบมะขามองค์เล็กเนื้อชิน และผ้าจีวรของหลวงปู่

จัดสร้าง 3 สี คือ สีซีเปีย, สีเขียว, สีชมพู ให้บูชา 250 บาท อีกอย่างคือตะกรุดดอกเล็กน่ารักชื่อตะกรุดพิสมร เงินเต็มไหร้อยไหมเจ็ดสี หลวงปู่งัดเอาพระปรกใบมะขามมาวัด ขนาด 7 ใบมะขามต่อกัน ลงแผ่นตะกั่วจาร นะเรียกเงิน ขนาบด้วย "เฑาะมหาพรหม และนะบังเกิดเศรษฐี" ร้อยไหม 7 สีไว้ หลวงปู่ทำไว้ไห้คนที่มาหาท่านมาขอความเป็น เศรษฐี ขอให้มีโชคลาภ จากท่าน ดังคำท่านที่ว่า "พิสมรเงินเต็มไห-ข้าวเต็มนา-รวยท่วมฟ้า" ให้บูชาเพียง 150 บาท

ข่าวดี หลวงปู่ขุ้ยจะมาลงวิชากระหม่อมเพชร ที่วัดกระจับพินิจ วันอาทิตย์ที่ 2 ธ.ค. 2550 นี้ เวลาบ่ายโมง ท่านที่สนใจสอบถามได้ที่ วัดซับตะเคียน วัดหิรัญรูจี วัดกระจับพินิจ, วัดหัวลำโพง (พระครูสุเทพ) และศูนย์พระเครื่องชั้นนำทั่วไป



« Back

ปลากัด


การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลากัด

เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวชอบต่อสู้
เมื่อปลาอายุประมาณ 1.5-2 เดือนการเลี้ยงปลากัด
จึงจำเป็นต้องรับแยกปลากัด เลี้ยงในภาชนะ เช่น ขวดแบน
เพียงตัวเดียวก่อนที่ปลาจะมีพฤติกรรมต่อสู้กันหากแยก
ปลาช้าเกินไปปลาอาจจะ บอบช้ำไม่แข็งแรง หรือพิการได้
ปลาจะกัดกันเอง ควรจะแยกปลากัดเลี้ยงเดี่ยวๆ
ทันทีที่สามารถแยกเพษได้ เมื่อลูกปลามีอายุประมาณ
1.5-2 เดือน จะสังเกตเห็น ว่าปลาเพศผู้จะมีลำตัวสีเข้ม
ครีบยาว ลายบนลำตัวมองเห็นได้ชัดเจน และขนาด
มักจะโตกว่าเพศเมีย ส่วนปลาเพศเมียจะมีสีซีดจาง
มีลายพาดตามความยาวของ ลำตัว 2 -3 แถบ และมักจะมี
ขนาดเล็กว่าปลาเพศผู้ เพื่อไม่ให้ปลากัดเกิดความเสีย
หายหรือบอบซ้ำ ควรทำการแยกปลากัดก่อน ซึ่งการดู
เพศปลากัดต้องใช้การสังเกต ดังนี้


1.ดูสี ตัวผู้จะมีสีเข้มกว่าตัวเมีย แต่ลายบยลำตัวเห็นได้ชัดเจน
ส่วนตัวเมียจะมีสีั ซีดจาง มีลายพาดตามความยาวของลำตัว
2-3 แถบ การดูสีนี้จะดูได้อย่างชัดเจน ยิ่งขึ้นเมื่อปลากัด
ีอายุตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป
2. ดูครีบและกระโดงปลากัดตัวผู้จะมีครีบท้องยาวกว่า
ของตัวเมียมีกระโดง ยาวไปจรดหาง ส่วนกระโดงของ
ตัวเมียจะสั้่นกว่ามาก
3. ดูไข่นำ ซึ่งเป็นจุดขาวๆ ใต้ท้องปลากัดตัวเมีย
สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนและ จุดๆ นี้คือท่อนำไข่
4. ดูปาก ถ้าลูกปลาตัวใดมีวงปากเป็นสีแดงแสดงว่า
ลูกปลากัดตัวนั้นเป็นตัวผู้ ซึ่ง เริ่มสังเกตเห็นได้่ตั้งแต่ปลากัด
มีอายุน้อยๆ ประมาณ 20 วันขึ้นไป
5. ดูขนาดลำตัว ปลาตัวผู้จะมีขนาดลำตัวโตกว่าปลาตัวเมีย
แม้มีอายุเท่าๆ กัน และเมื่อทำการแยกเพศปลากัดแล้ว จึงนำปลากัดไปเลี้ยงไว้ในภาชนะทีเตรียมไว้ภาชนะที่ ี่เหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงปลากัดได้แก่ขวดสุรา
ชนิดแบน บรรจุน้ำได้ 150ซีซีเพราะสามารถหา
ได้ไม่ยากนัก อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าการสั่งทำขวด
พิเศษสามารถวางเรียงกันได้เป็นจำนวนมากไม สิ้น
เปลืองพื้นที่ แต่ปัจจุบันการเลี้ยงเชิงพาณิชย์มักจะสั่ง
ทำขวดโหลชนิดพิเศษ เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยม บ้างก็เป็น
ขวดกลมใหญ่เพื่อเป็นการโชว์ปลากัด แต่ละประเภท
หรือแต่ละสายพันธุ์ ได้อย่างชัดเจน เมื่อนำไปวางจำหน่าย
ในท้องตลาด

นอกจากนั้นแล้วต้องหาสถานที่ๆ ค่อนข้างจะสงบเงียบ
และมีอากาศถ่ายเทได้ดี โดย เฉพาะในฤดูร้อน เนื่องจากอากาศร้อนจะทำให้อุณหภูมิน้ำสูงเกินไป
อันจะเป็นสาเหตุ ให้ปลาตายได้ อุณหภูมิที่เหมาะสม
ไม่ควร ให้เกิน 30 องศาเซลเซียส ควรอยูุ่่ระหว่าง
26-28 องศาเซลเซียส หากเป็นช่วงหน้าหนาวก็ไม่
ควรให้ต่ำกว่า 20องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ปลา
ไม่กินอา่หารและทำให้้ปลาตายได้

ภาชนะที่ใช้เลี้ยงปลากัดควรเป็นภาชนะขนาดเล็กที่ไม่
สิ้นเปลืองพื้นที่ มีช่องเปิดไม่กว้่างเพื่อป้องกันปลากระโดด
และป้องกันศัตรูของปลา เช่น แมว จิ้งจก ฯลฯ ภาชนะที่เหมาะสม ที่สุดที่ควรนำมาใช้ในการเลี้ยงปลากัดได้แก่
ขวด(สุรา) ชนิดแบน บรรจุน้ำได้ 150 ซีซี เพราะสามารถวางเร่ยงกันได้ดีไม่สิ้นเปลืองพื้นที่ และ
ปากขวดแคบๆ สามารถป้องกันปลา
กระโดดและป้องกันศัตรูได้เป็นอย่างดี และหากมีเนื้อที่น้อยก็สามารหถทำชั้นวางขวดปลากัด
เป็นชั้นๆ แบบขั้นบันไดได้

ปลาหมอสี


เราควรคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์เสียก่อน ปลาหมอสีตัวเมียหากจะดูตามลักษณะของ
อวัยวะเพศ นั้นค่อนข้างยาก แต่ถ้าดูด้วยตาเปล่าจะสังเกตุเห็นว่าปลาหมอสีบางพันธุ์ตัวผู้จะ
มีขนาดใหญ่ และบางพันธุ์ตัวผู้จะมีสีสด ส่วนตัวเมียจะมีสีซีดกว่าพ่อแม่พันธุ์ที่ดีต้องเป็นปลา
ที่สมบูรณ์ ว่ายน้ำว่างไว ปราดเปรียว ที่สำคัญจะต้องเป็นปลาที่ไม่ผ่านการเร่งสีหรือย้อมสี
มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป

สถานที่ที่ใช้เพาะพันธุ์ปลาหมอสีควรใช้ตู้กระจกขนาด 36 นิ้ว เพราะสามารถมองเห็นการ
เปลี่ยนแปลงของแม่ปลาไดด้ง่าย ทาสีตู้ทั้ง 3 ด้าู้นเพื่อป้องกันปลาตื่นตกใจ เมื่อเตรียม
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และสถานที่เรียบรุ้์อย จึงป่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไปในอัตราส่วนพ่อพันธุ์ 1 ตัว
แต่แมพันธุ์ 5 ตัว ซึ่งตู้ขนาด 36 นิ้ว สามารถปล่อยพ่อพันธุํุ์ได้ 3 ตัวและแม่พันธุ์ได้ถึง
15 ตัว โดยตัวผู้จะไล่จับคู่กับตัวเมียเอง


การผสมพันธุ์นั้นเมื่อตัวเมียเริ่มวางไข่ตัวผู้ก็จะปล่อยน้ำเชื้อผสมกับไข่ และเนื่องจากปลาหมอสี
ส่วนใหญ่เป็นปลาที่อมไข่ เมื่อตัวผู้ปลอยน้ำเชื้อเสร็จปลาตัวเมียก็จะอมไข่ไว้และทำเช่นนี้เรื่อยๆ
จนไข่หมด ซึ่งปลาหมอสีจะอมไข่ได้ครั้งละประมาณ 30-40 ฟอง จากนั้นตัวผู้จะไปผสมพันธุ์
กับตัวอื่นต่อไป มีปลาหมอสีบางชนิดที่วางไข่ กับพื้นโดยไม่อมไข่ไว้เหมือนกัน แต่พบได้น้อยมาก
ไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วแม่ปลาจะอมไว้ในปาก ซึ่งเราจะสังเกตุว่าใต้คางของแม่ปลาจะอูม
ออกมาชัดเจน เหงือกจะอ้าออกมาเพื่อให้น้ำไหลผ่านในช่องปากตลอดเวลา เมื่อครบ 15 วัน
ลูกปลาจะเริ่มฟักเป็นตัวระยะนี้เราสามารถนำแม่ปลามาเปิดปากเพื่อนำลูกปลาออกมาแล้วนำไป
อนุบาลต่อไป การเปิดปากแม่ปลาควรทำด้วยความรวดเร็วและระมัดระวังมิเช่นนั้นแม่ปลาอาจ
จะเกิดบาดเจ็บได้
ปลาที่อมไข่ในปากได้แก่
- ปลาหมอฟรอนโตซ่า